5 ขั้นตอนเลือกซื้อเคเบิ้ลแกลนต้องรู้

5 ขั้นตอนการเลือกซื้อ เคเบิ้ลแกลน ที่ต้องรู้

เคเบิ้ลแกลน เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ในงานไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับยึดสายไฟให้ติดอยู่กับกล่องพักสายไฟ และยังช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะมีโอกาสเข้าไปในอุปกรณ์อีกด้วย

จากความสำคัญที่กล่าวจากด้านบน ดังนั้นการเลือกซื้อเคเบิ้ลแกลนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แอดมินเลยมาขอแนะนำขั้นตอนการเลือกซื้อเคเบิ้ลแกลนยังไงให้ได้ตรงกับการใช้งานและมีคุณภาพ

ขั้นตอนการเลือกเคเบิ้ลแกลน

  1. วางแผนการติดตั้งระบบ

เริ่มต้นจากควรร่างแผนงานการติดตั้งระบบ ให้เราสามารถรู้ได้ว่าจะต้องใช้อุปกรณ์ใดบ้าง และจำนวนเท่าไหร่ กำหนดจุดติดตั้ง ขนาดสายไฟ เพื่อให้ขั้นตอนการจัดซื้ออุปกรณ์ทำได้อย่างราบลื่น

  1. กำหนดราคาที่ใช้

ต้นทุนการจัดซื้อก็มีผลต่อการติดตั้งเช่นกัน เพราะจะส่งผลต่อประเภทวัสดุที่จะสามารถเลือกใช้ได้ ซึ่งถ้าวัดตามวัสดุ พลาสติกจะเป็นวัสดุที่ถูกที่สุด และสแตนเลสจะเป็นวัสดุที่มีราคาสูงที่สุด

  1. เลือกวัสดุที่ใช้งาน

หลังจากที่ได้กำหนดราคาจัดซื้อเรียบร้อยแล้ว เราจะต้องมามองถึงวัสดุที่ใช้งาน เนื่องจากการติดตั้งในแต่ละจุดอาจจะต้องเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกัน อาทิการติดตั้งภายนอกอาคารที่จำเป็นต้องเจอสภาพแวดล้อม สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง หรือติดตั้งในบริเวณที่มีโอกาสจะเจอสารเคมี กรด ด่าง น้ำเกลือ หรืออื่นๆ ก็ควรเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งาน

วัสดุหลักๆที่พบบ่อยที่ใช้ผลิตเคเบิ้ลแกลน ก็จะมี พลาสติก เหล็ก สแตนเลส นิคเกิลบลาส ซึ่งความทนทาน และราคา จะมีความแตกต่างกันไป

  1. เลือกเกลียวที่จะใช้งาน

เกลียวของอุปกรณ์ก็จัดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะถ้าหากซื้อเกลียวที่ไม่รองรับกันก็ไม่สามารถใช้งานได้

ถ้าจัดซื้อสินค้าใหม่ทั้งหมดก็สามารถเลือกซื้อได้ง่าย เพราะเป็นชิ้นใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าหากว่าการติดตั้งเป็นการเปลี่ยนชิ้นใหม่จึงจะต้องดูเกลียวเดิมก่อนว่าใช้เกลียวชนิดใดก่อนทำการจัดซื้อ

ซึ่งเกลียวที่พบได้บ่อยในท้องตลาดบ้านเราจะมีอยู่ทั้งหมด 3 เกลียว นั่นคือ

4.1. เกลียว M (Metrix) เป็นเกลียวที่เป็นมาตรฐานทั่วไปสำหรับอุปกรณ์จับยึดทั่ว ๆ ไป อาทิเช่น น็อต สกรู

4.2 เกลียว PG เป็นเกลียวที่เป็นมาตรฐานจากประเทศเยอรมณี

4.3 เกลียว NPT หรือเกลียวหุน เป็นเกลียวที่สามารถพบได้บ่อยในอุตสาหกรรมท่อประปา

  1. คุณภาพของอุปกรณ์

สุดท้ายเราก็ต้องดูคุณภาพของอุปกรณ์อีกด้วย เนื่องจากสินค้าแบบเดียวกันก็ยังมีความแตกต่างในด้า่นราคาและรวมถึงคุณภาพอีกด้วย

ดังนั้นเราควรใส่ใจกับการเลือกและมองถึงคุณภาพของสินค้าด้วย โดยเบื้องต้นเราควรดูจากการได้รับมาตรฐานจากอุปกรณ์นั้นๆ อาทิเช่น CE, IP หรือมาตรฐานอื่นๆ ที่ทางผู้จำหน่ายระบุไว้